แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - miyeon

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
76
สำหรับนักลงทุนแล้ว การลงทุนกองทุนรวมเป็นรูปแบบการลงทุนที่หลายคนรู้จักกันอย่างดี แต่ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการลงทุนในกองทุนรวมกันมากขึ้น และมีวิธีการลงทุนในกองทุนรวมแบบ Passive Investing มาบอกกัน
การลงทุนกองทุนรวมเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่าย มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการลงทุนโดยตรงในหุ้นหรือตราสารหนี้ และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว สำหรับมืออาชีพที่ต้องการลงทุนกองทุนรวมให้ได้ผลตอบแทนที่ดี สามารถปฏิบัติตามเทคนิคต่อไปนี้ได้

1. กำหนดเป้าหมายการลงทุนกองทุนรวมอย่างชัดเจน
เป้าหมายการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน การกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างชัดเจนจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเป้าหมายการลงทุน เช่น
ออมทรัพย์เพื่อเกษียณอายุ
มีเงินเก็บฉุกเฉิน
เพิ่มพูนทรัพย์สิน

2. กระจายความเสี่ยง
ความเสี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการลงทุน การลงทุนกองทุนรวมประเภทเดียวอาจมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ หรือกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ
ตัวอย่างการกระจายความเสี่ยง เช่น
ลงทุนกองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ และกองทุนรวมผสม
ลงทุนกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ กองทุนรวมหุ้นไทย และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

3. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
การลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเฉลี่ยต้นทุนการลงทุน ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
นักลงทุนควรเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มเงินลงทุนไปเรื่อย ๆ ตามความสามารถ

4. ลงทุนกองทุนรวมที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
ค่าธรรมเนียมกองทุนรวมเป็นค่าใช้จ่ายที่นักลงทุนต้องจ่ายให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ค่าธรรมเนียมกองทุนรวมที่ต่ำจะช่วยให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน

5. ลงทุนแบบ passive investing
การลงทุนแบบ Passive Investing หรือการลงทุนตามดัชนี (index investing) เป็นการลงทุนที่เน้นลงทุนตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เช่น ดัชนี SET50 หรือดัชนี S&P500 การลงทุนแบบ Passive Investing มีข้อดีคือมีต้นทุนการลงทุนที่ต่ำและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาด
นักลงทุนมืออาชีพมักนิยมลงทุนแบบ Passive Investing เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ง่ายและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ตัวอย่างกองทุนรวมแบบ Passive Investing
กองทุนรวมดัชนี SET50
กองทุนรวมดัชนี S&P500
กองทุนรวมดัชนี MSCI Emerging Markets
การลงทุนกองทุนรวมเป็นการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

77
   การผลิตชิ้นส่วนโลหะเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งชิ้นส่วนโลหะมีหลากหลายรูปแบบและขนาด ขึ้นอยู่กับการใช้งานที่แตกต่างกัน


ขั้นตอนการผลิตชิ้นส่วนโลหะ
การเตรียมวัสดุ
เป็นการคัดเลือกและเตรียมวัสดุโลหะที่จะนำมาผลิตชิ้นส่วน วัสดุโลหะที่นิยมใช้ผลิตชิ้นส่วน ได้แก่ เหล็ก สแตนเลส อลูมิเนียม ทองแดง เป็นต้น วัสดุโลหะเหล่านี้อาจอยู่ในรูปของแผ่นเหล็ก แท่งเหล็ก ท่อเหล็ก หรือลวดเหล็ก

การขึ้นรูป
เป็นการขึ้นรูปวัสดุโลหะให้เป็นรูปร่างที่ต้องการ การขึ้นรูปสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
การกลึง เป็นการขึ้นรูปวัสดุโลหะให้เป็นรูปร่างกลมหรือทรงกระบอก
การกัด เป็นการขึ้นรูปวัสดุโลหะให้เป็นรูปร่างต่างๆ เช่น สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม เป็นต้น
การปั๊ม เป็นการขึ้นรูปวัสดุโลหะให้เป็นรูปร่างต่างๆ ด้วยแรงอัด
การเชื่อม เป็นการเชื่อมวัสดุโลหะเข้าด้วยกัน

การเชื่อม
เป็นการเชื่อมชิ้นส่วนโลหะเข้าด้วยกัน เพื่อให้ชิ้นงานมีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานได้

การประกอบ
เป็นการประกอบชิ้นส่วนโลหะต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นชิ้นงานสำเร็จรูป

การทดสอบ
เป็นการทดสอบชิ้นงานสำเร็จรูป เพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นงานมีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

กระบวนการผลิตชิ้นส่วนโลหะ
กระบวนการผลิตชิ้นส่วนโลหะอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของชิ้นส่วนและวัสดุโลหะที่ใช้ โดยทั่วไปแล้ว มีดังนี้

กระบวนการผลิตแบบต่อเนื่อง
กระบวนการผลิตแบบต่อเนื่องเป็นกระบวนการผลิตที่ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน กระบวนการผลิตแบบต่อเนื่องนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่มีรูปแบบและขนาดเท่ากัน เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น

กระบวนการผลิตแบบเฉพาะกิจ
กระบวนการผลิตแบบเฉพาะกิจเป็นกระบวนการผลิตที่ผลิตชิ้นส่วนจำนวนน้อย หรือผลิตตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า กระบวนการผลิตแบบเฉพาะกิจนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่มีรูปแบบและขนาดแตกต่างกัน เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ชิ้นส่วนตกแต่ง เป็นต้น

เทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนโลหะ
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้การผลิตชิ้นส่วนมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้มากขึ้น เทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนโลหะที่น่าสนใจ ได้แก่
-การพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนที่มีความแม่นยำสูง สามารถสร้างชิ้นส่วนโลหะที่มีรูปร่างซับซ้อนได้
-การเชื่อมหุ่นยนต์ เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมที่ควบคุมโดยหุ่นยนต์ ทำให้การเชื่อมมีความแม่นยำและรวดเร็ว
-การขึ้นรูปด้วยเลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีการขึ้นรูปวัสดุโลหะโดยใช้เลเซอร์ ทำให้การขึ้นรูปมีความแม่นยำและรวดเร็ว

แนวโน้มการผลิตชิ้นส่วนโลหะในอนาคต
แนวโน้มการผลิตชิ้นส่วนโลหะในอนาคตคาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่การผลิตชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักเบา ทนทานต่อการใช้งาน และประหยัดพลังงาน เทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนใหม่ ๆ เช่น การพิมพ์ 3 มิติ และการเชื่อมหุ่นยนต์ คาดว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนโลหะในอนาคต

78
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME ‘เงินทุน’ คือสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้ ผู้ประกอบการ SME คนไหนที่กำลังมองหาแหล่งเงินทุนเพื่อขยายกิจการหรือเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน บอกเลยว่าห้ามพลาดบทความนี้ เพราะวันนี้เราจะมาพูดถึงการเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กกัน


   การขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ต้องเตรียมตัวให้ดี เพื่อให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติและได้รับวงเงินตามที่ต้องการ ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำการเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กกัน ดังนี้

ศึกษาข้อมูลสินเชื่อให้เข้าใจ
สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก คือการศึกษาข้อมูลสินเชื่อให้เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นประเภทสินเชื่อ เงื่อนไขสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อให้สามารถเลือกสินเชื่อที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณมากที่สุด โดยคุณสามารถศึกษาข้อมูลสินเชื่อได้จากเว็บไซต์ของสถาบันการเงินต่าง ๆ หรือสอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อโดยตรงได้ที่สาขาเลย

เตรียมเอกสารที่จำเป็น
เมื่อคุณเลือกสินเชื่อและสถาบันการเงินได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมเอกสารที่จำเป็นประกอบการขอสินเชื่อ ซึ่งเอกสารแต่ละประเภทอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินที่ให้บริการ ดังนั้น ควรตรวจสอบเอกสารที่จำเป็นกับสถาบันการเงินที่คุณต้องการขอสินเชื่ออีกครั้ง เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินงาน โดยเอกสารที่จำเป็นโดยทั่วไป ได้แก่
สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้กู้
สำเนาทะเบียนการค้า หรือใบทะเบียนพาณิชย์
งบการเงินย้อนหลัง
หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
หนังสือรับรองเงินฝาก
เอกสารแสดงทรัพย์สิน เช่น โฉนดที่ดิน ทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น

ประเมินความสามารถในการชำระหนี้
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาก่อนขอสินเชื่อคือความสามารถในการชำระหนี้ โดยควรประเมินความสามารถในการชำระหนี้ตามหลัก 50/30/20 ดังนี้
ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ควรอยู่ที่ไม่เกิน 50% ของรายได้
ค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงและสันทนาการ ควรอยู่ที่ไม่เกิน 30% ของรายได้
เงินออม ควรอยู่ที่ไม่เกิน 20% ของรายได้
หากประเมินแล้วพบว่าความสามารถในการชำระหนี้ของคุณไม่เพียงพอ อาจต้องพิจารณาปรับแผนธุรกิจหรือหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ แทน

เตรียมแผนธุรกิจให้รัดกุม
หากต้องการขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก ควรเตรียมแผนธุรกิจให้รัดกุม เพื่อแสดงให้สถาบันการเงินเห็นว่าธุรกิจของคุณมีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตในอนาคต แผนธุรกิจควรครอบคลุมรายละเอียดต่าง ๆ เช่น
ข้อมูลทั่วไปของธุรกิจ
วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ
แผนการตลาดและการขาย
แผนการผลิตหรือการดำเนินงาน

การเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กจะช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับการอนุมัติและได้รับวงเงินตามที่ต้องการ ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลและเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และเตรียมแผนธุรกิจให้ดี เพื่อให้สถาบันการเงินมั่นใจว่าธุรกิจของคุณมีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตในอนาคต



   


79
ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น การชำระเงินค่างวดออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย บทความนี้จะมาอธิบายถึง 5 เหตุผลว่าทำไมเราควรจ่ายค่างวดออนไลน์


สะดวกและรวดเร็ว
การจ่ายค่างวดออนไลน์สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสถานที่ให้บริการ ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
จากเดิมที่เราจะต้องเดินทางออกจากบ้าน ไปจ่ายค่างวด ตอนนี้ไม่ต้องเดินทางแล้ว สามารถจ่ายออนไลน์ได้เลย ไม่ยุ่งยาก
 
ปลอดภัย
การชำระเงินค่างวดออนไลน์มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากระบบการชำระเงินส่วนใหญ่ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย เช่น ระบบ OTP หรือระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกโจรกรรมข้อมูลทางการเงิน
สำหรับใครที่เคยกังวลเรื่องความปลอดภัยในการจ่ายค่างวดออนไลน์ หมดความกังวลใจไปได้เลย เพราะสามารถจ่ายเงินได้อย่างปลอดภัย มีระบบยืนยันตัวตนที่สะดวก ง่าย และปลอดภัยสูง

ประหยัดค่าใช้จ่าย
การชำระเงินค่างวดออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม แตกต่างจากการชำระเงินค่างวดแบบเดิมที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับผู้ให้บริการ เนื่องจากเป็นการชำระไปยังสถาบันทางการเงินโดยตรง นอกจากนี้ เรายังไม่เสียเงินค่าเดินทางในการจ่ายค่างวดอีกด้วย ทำให้ประหยัดแบบคูณสองไปเลย

เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา
การชำระเงินค่างวดออนไลน์สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ สะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ดีกว่าสมัยก่อน ที่เราลืมจ่าย พอนึกขึ้นได้ จุดจ่ายเงินก็ปิดทำการไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาไหน ก็สามารถจ่ายค่างวดออนไลน์ได้ แค่มีแอปพลิเคชัน กับอินเทอร์เน็ต
ด้วยเหตุนี้ พอถึงเวลาจ่ายค่างวด เราจึงไม่จำเป็นต้องเดินทาง หรือฝากใครจ่ายอีกต่อไป สามารถจ่ายได้เองง่าย ๆ เลย

ข้อมูลการจ่ายเงินชัดเจน
การชำระเงินค่างวดออนไลน์จะแสดงหลักฐานการจ่ายเงินอย่างชัดเจน ช่วยให้สามารถตรวจสอบข้อมูลการจ่ายเงินได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่ต้องเก็บกระดาษ หรือเก็บหลักฐานให้รกบ้านอีกต่อไป สามารถตรวจสอบทุกอย่างผ่านแอปพลิเคชัน หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ได้เลย
หลายคนอาจจะมีปัญหาการลืมจ่ายค่างวดบ้าง หรือว่าไม่แน่ใจว่าเหลือจำนวนเงินอีกเท่าไร ทั้งหมดนี้เราสามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันได้เลย 

การจ่ายค่างวดออนไลน์มีข้อดีหลายประการ ทั้งสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี


80
   สำหรับใครที่กำลังก่อสร้างหรือต่อเติมบ้าน หรือแม้แต่ผู้ที่ทำธุรกิจอยู่ในวงการก่อสร้างเองก็ตาม คงมีความคุ้นเคย หรือรู้จักกับคานบ้านเป็นอย่างดี เพราะว่าคานบ้านนับเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญสำหรับบ้านเลยก็ว่าได้ แต่ในวันนี้เราไม่ได้จะมาแนะนำเรื่องคานบ้านให้คุณรู้จัก เพราะคิดว่าหลายคนคงรู้จักดีอยู่แล้ว จริง ๆ แล้วเราจะมาพูดถึงไม้แบบพลาสติก แบบข้างคาน กันมากกว่า และเราจะพาคุณไปรู้จักแบบคานบ้านกันมากขึ้น จะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันได้เลย


   ก่อนไปทำความรู้จัก ไม้แบบพลาสติก แบบข้างคาน ว่ามีแบบไหนบ้าง เรามาทำความเข้าใจกับ ไม้แบบพลาสติกกันก่อน
    ไม้แบบพลาสติก คือ ไม้แบบคอนกรีตที่ทำจากวัสดุพลาสติกโพลิเอทธีลิน ซึ่งมีคุณสมบัติเหนียว ทนทาน และน้ำหนักเบา ทำให้สามารถติดตั้งและรื้อถอนได้ง่าย เหมาะกับการใช้ในการก่อสร้างและต่อเติมบ้าน ที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลา ที่สำคัญยังทนทานต่อสภาพอากาศ โดยมีการเสริมเหล็กเป็นแกนทำให้สามารถรับน้ำหนักได้เพิ่มขึ้นและแข็งแรงมากขึ้น
   ดังนั้น ไม้แบบพลาสติก แบบข้างคาน ก็คือไม้แบบคอนกรีตที่ทำจากวัสดุพลาสติกโพลิเอทธีลิน ที่เป็นชิ้นส่วนข้างคานนั่นเอง โดยประโยชน์ของไม้แบบพลาสติก แบบข้างคาน คือ
1.น้ำหนักเบา เพราะเป็นคอนกรีตแบบผสม โดยจะเป็นการนำเอาวัสดุไม้และพลาสติกมาผลิตเป็นชิ้นงาน ซึ่งจะมีการขึ้นรูปตามประเภทการใช้งาน โดยแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ ชนิด Polyethlyene หรือ PE แล้วนำมาผสมกับผงไม้ ชนิด Polypropylene หรือ PP แล้วนำมาผสมกับผงไม้ และชนิด Polyvinyl Chloride หรือ PVC แล้วนำมาผสมกับผงไม้
2.ทนทานต่อความชื้น เพราะไม้แบบพลาสติก แบบข้างคาน มีเพียงส่วนผสมของเนื้อไม้ ไม่ใช่ไม้จริงทั้งหมด จึงไม่ดูดซับความชื้น และทนทานต่อความอับชื้นได้อีกด้วย
3.หมดปัญหาแมลงกวนใจ เพราะไม่ใช่ไม้แท้ ก็ไม่เสี่ยงกับแมลงและสิ่งแปลกปลอม ไม้แบบพลาสติก แบบข้างคาน มีความเสมือนไม้จริง แต่รับรองได้ว่ามอดไม่ขึ้นอย่างแน่นอน
4.ทนทาน มีอายุการใช้งานนาน อย่างที่บอกว่าถึงมีรูปลักษณ์ที่มีความเสมือนไม้จริง และไม่ติดไฟง่ายเหมือนไม้ ไม่ลามไฟ และมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 10 ปี เลยทีดียว
5.ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากมีราคาค่อนข้างถูกกว่าไม้จริง มีความเหนียวมากกว่าไม้สังเคราะห์ประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะประเภทไฟเบอร์ซีเทนต์ที่สามารถทำโครงสร้างรับน้ำหนักได้
สำหรับคนที่กำลังก่อสร้างบ้าน หรืออยู่ในแวดวงของธุรกิจก่อสร้างบ้านการเลือกใช้ ไม้แบบพลาสติก แบบข้างคาน นับเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ เพื่อให้คุณได้มีบ้านสวย ในงบที่ไม่บานปลายอีกด้วย

81
   กลากและเกลื้อนเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย เกิดจากเชื้อราที่เจริญเติบโตบนผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคัน สะเก็ด และรอยแดง โรคกลากและเกลื้อนสามารถติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัสกับผิวหนังที่เป็นโรคโดยตรง หรือสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อรา แล้วหากเป็นกลากหรือเกลื้อน จะมีวิธีการรักษาอย่างไร เรามีคำตอบมาบอกกันในบทความนี้


   กลาก เกลื้อนคืออะไร เหมือนหรือต่างกันไหม?
   กลากและเกลื้อนเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราชนิดเดียวกัน แต่มีลักษณะและอาการที่แตกต่างกันดังนี้
กลาก เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes ทำให้เกิดผื่นคัน สะเก็ด และรอยแดง มักพบตามบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น ข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ และบริเวณอวัยวะเพศ
เกลื้อน เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Malassezia furfur ทำให้เกิดผื่นคัน สะเก็ด และรอยแดง มักพบตามบริเวณที่มีขน เช่น ศีรษะ หน้าอก แผ่นหลัง และบริเวณขา

   สาเหตุการเกิดโรคกลากเกลื้อน
- สภาพอากาศ เพราะเชื้อราเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่อบอุ่นและชื้น
- การสัมผัสกับผิวหนังที่เป็นโรคโดยตรง เช่น การสัมผัสกับผื่นคันของผู้ป่วยกลาก เกลื้อน
- การสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อรา เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว เตียงนอน ฯลฯ
- ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคเอดส์ ฯลฯ มีโอกาสเกิดโรคกลากเกลื้อนได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

   โรคกลากเกลื้อน รักษาได้อย่างไรบ้าง?
โรคกลากเกลื้อน สามารถรักษาได้หลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ดังนี้
กลุ่มที่อาการไม่รุนแรง
        สำหรับผู้ที่เป็นโรคกลากเกลื้อนแบบไม่รุนแรง สามารถใช้ยาทาต้านเชื้อรา เช่น ยา Clotrimazole, Miconazole, Terbinafine ทาบริเวณที่เป็นผื่น 2-3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ ก็จะทุเลาลง
กลุ่มที่อาการรุนแรง
       หากมีอาการโรคกลากเกลื้อนรุนแรง แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการให้รับประทานยาต้านเชื้อรา เช่น ยา Itraconazole, Fluconazole โดยรับประทานเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ หรือตามการวินิจฉัยของแพทย์

   นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคกลากเกลื้อนยังสามารถรักษาตนเองเพื่อช่วยให้อาการดีขึ้นได้ ดังนี้
- รักษาความสะอาดของร่างกาย อาบน้ำชำระร่างกายเป็นประจำ เช็ดตัวให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีเหงื่อออก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวหนังที่เป็นโรค หากสัมผัสกับผิวหนังที่เป็นโรค ควรล้างมือให้สะอาดทันที
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อรา ทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว เตียงนอน ฯลฯ อย่างสม่ำเสมอ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

   สุดท้าย หากคุณพบผื่นคัน สะเก็ด หรือรอยแดงบริเวณผิวหนัง แล้วสงสัยว่าเป็นกลากเกลื้อนหรือไม่ อย่าใช้ยาทาต้านเชื้อราเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงได้ แต่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปสู่ผิวหนังบริเวณอื่นหรือสู่ร่างกายของผู้อื่นนั่นเอง


82
สำหรับผู้ขับขี่รถบรรทุก หรือผู้ประกอบการที่ให้บริการขนส่ง ที่มีรถบรรทุกจำนวนมาก ย่อมรู้กันเป็นอย่างดีว่าผ้าใบรถบรรทุกเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับรถบรรทุกทุกคัน ทำหน้าที่ปกป้องสินค้าหรือสิ่งของที่บรรทุกอยู่ภายในรถจากแสงแดด ฝน และลม การเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุกจึงมีความสำคัญ เพราะหากเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุกที่คุณภาพไม่ดี อาจทำให้ผ้าใบมีอายุการใช้งานสั้น หรือชำรุดเสียหายได้ง่าย


ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุก
หากผู้ประกอบการต้องการมีปัจจัยหลายประการที่ควรพิจารณาในการเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุก ดังนี้

1.ประเภทของผ้าใบ
ผ้าใบรถบรรทุกมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น ผ้าใบกันแดด ผ้าใบกันฝน ผ้าใบกันน้ำ ผ้าใบกันลม เป็นต้น ควรเลือกร้านที่จำหน่ายผ้าใบประเภทที่ต้องการ

2.คุณภาพของผ้าใบ ผ้าใบรถบรรทุกที่ดีควรมีความทนทาน แข็งแรง กันน้ำ กันแดดได้ดี ควรเลือกร้านที่จำหน่ายผ้าใบคุณภาพสูง

3.ราคา ราคาของผ้าใบรถบรรทุกมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทและคุณภาพของผ้าใบ ควรเลือกร้านที่จำหน่ายผ้าใบในราคาที่เหมาะสม

4.บริการหลังการขาย ร้านจำหน่ายผ้าใบที่ดีควรมีบริการหลังการขายที่ดี เช่น รับประกันสินค้า ซ่อมแซมผ้าใบ เป็นต้น

วิธีเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุก
ในส่วนของวิธีเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุก เรามีวิธีการดี ๆ มาแนะนำ ดังนี้

- หาข้อมูลร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุก ในปัจจุบันมีร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุกมากมาย สามารถเลือกค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ตหรือสอบถามจากคนรู้จัก
- เปรียบเทียบราคา ควรเปรียบเทียบราคาผ้าใบจากร้านจำหน่ายหลายแห่ง เพื่อหาราคาที่เหมาะสมที่สุด
- สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผ้าใบ ควรสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผ้าใบจากทางร้าน เช่น ประเภทของผ้าใบ คุณภาพของผ้าใบ ราคาผ้าใบ เป็นต้น
- ตรวจสอบบริการหลังการขาย ควรตรวจสอบว่าร้านจำหน่ายผ้าใบมีบริการหลังการขายหรือไม่ เช่น รับประกันสินค้า ซ่อมแซมผ้าใบ เป็นต้น

เคล็ดลับในการเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุก
สำหรับเคล็ดลับในการเลือกซื้อผ้าใบรถบรรทุก มีอยู่หลากหลาย แต่ที่เป็นสิ่งที่ควรนำไปปฏิบัติเป็นหลัก มีดังนี้

- ควรเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการผลิตผ้าใบรถบรรทุก
- ควรเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบที่มีโรงงานผลิตเอง เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของผ้าใบ
- ควรเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบที่มีใบรับรองมาตรฐานการผลิต

การเลือกร้านจำหน่ายผ้าใบรถบรรทุกที่มีคุณภาพดีจะช่วยให้ผ้าใบมีอายุการใช้งานยาวนาน และปกป้องสินค้าหรือสิ่งของที่บรรทุกอยู่ภายในรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือวิธีการเลือกผ้าใบสำหรับรถบรรทุกที่เรานำมาฝากกัน หวังว่าจะเป็นตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้ได้ของดี และไม่ทำให้ต้องเสียเงินได้เปล่าประโยชน์อีกด้วย เพื่อให้การใช้งานของผ้าใบยาวนาน เพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งสินค้า

83
        ในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีการแข่งขันสูง ผู้คนต่างมองหาทางเลือกในการประหยัดค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการขับขี่รถยนต์ด้วย หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันคือ ประกันรถแบบรายเดือน ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้จักดี หรืออาจจะเคยได้ยินมาบ้าง ในบทความนี้จะมาสรุปข้อมูลสั้น ๆ ว่า ประกันรถรายเดือนคืออะไร มีข้อดีอย่างไร


        ประกันรถรายเดือน คือ รูปแบบของประกันรถยนต์ที่ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน โดยปกติแล้ว ประกันรถยนต์ทั่วไปจะชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี แต่ประกันรถแบบรายเดือนจะชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้เอาประกันภัย

- เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้รถไม่บ่อย เช่น ผู้ที่มีรถหลายคัน แต่ใช้รถเพียงคันเดียวเป็นประจำ
- เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะสั้น เช่น ผู้ที่มีงบประมาณจำกัดในช่วงต้นปี
- เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการยกเลิกกรมธรรม์ เช่น ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนรถใหม่ หรือต้องการหยุดใช้รถชั่วคราว

ประเภทของประกันรถรายเดือน

1.ประกันรถแบบรายเดือนแบบไม่ลดเบี้ย
ประกันรถแบบรายเดือนแบบไม่ลดเบี้ย คือ รูปแบบของประกันรถยนต์ที่ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน โดยเบี้ยประกันภัยจะเท่ากันทุกเดือนตลอดอายุสัญญาประกันภัย

2.ประกันรถแบบรายเดือนแบบลดเบี้ย
ประกันรถแบบรายเดือนแบบลดเบี้ย คือ รูปแบบของประกันรถยนต์ที่ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน โดยเบี้ยประกันภัยจะลดลงทุกเดือนตามระยะเวลาที่ใช้งานจริง

ข้อดีของการใช้ประกันรถรายเดือน

ความยืดหยุ่น
        ประกันรถแบบรายเดือนช่วยให้ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกชำระเบี้ยประกันภัยได้ตามความเหมาะสมกับงบประมาณ โดยสามารถชำระเบี้ยประกันภัยได้ตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน หรือผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขับขี่รถยนต์

ความประหยัด
        เบี้ยประกันภัยของประกันรถแบบรายเดือนอาจถูกกว่าประกันรถยนต์ทั่วไป เนื่องจากไม่ต้องเสียเบี้ยประกันภัยล่วงหน้าทั้งปี โดยเบี้ยประกันภัยจะคำนวณตามระยะเวลาที่แท้จริงที่ผู้เอาประกันภัยใช้งานจริง

ความสะดวก
        สามารถชำระเบี้ยประกันภัยได้ผ่านช่องทางต่างๆ สะดวกและรวดเร็ว เช่น ชำระผ่านบัตรเครดิต ชำระผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร หรือชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส เป็นต้น

ข้อจำกัดของประกันรถรายเดือน
- เบี้ยประกันภัยอาจสูงกว่าประกันรถยนต์ทั่วไป เนื่องจากบริษัทประกันต้องคำนวณเบี้ยประกันภัยตามระยะเวลาที่แท้จริงที่ผู้เอาประกันภัยใช้งานจริง
- อาจมีข้อจำกัดบางประการ เช่น วงเงินความคุ้มครองอาจต่ำกว่าประกันรถยนต์ทั่วไป หรืออาจไม่ครอบคลุมถึงบางความเสี่ยง

ประกันรถแบบรายเดือนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่น ความประหยัด และสะดวกในการชำระเบี้ยประกันภัย อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถแบบรายเดือน ควรศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขต่าง ๆ ของกรมธรรม์ประกันภัยให้ละเอียด เพื่อให้ได้ประกันรถแบบรายเดือนที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณ


84

แก้วใสแบบย่อยสลายได้ คือ แก้วที่ผลิตจากวัสดุชีวภาพ (biomaterials) เป็นหลัก วัสดุชีวภาพเป็นวัสดุที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ โดยแก้วใสแบบย่อยสลายได้ จะมีคุณสมบัติเด่นคือ สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ผลิตแก้วย่อยสลายได้และสภาพแวดล้อมในการย่อยสลาย

ข้อดีของแก้วใสแบบย่อยสลายได้
แก้วใสแบบย่อยสลายได้ มีข้อดีคือ ช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติก ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในปัจจุบัน โดยแก้วใสแบบย่อยสลายได้โดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ แก้วใสแบบย่อยสลายได้ ยังมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับแก้วทั่วไป เช่น ความใส ความแข็งแรง ทนต่อความร้อน เป็นต้น จึงสามารถนำไปใช้ทดแทนแก้วทั่วไปได้หลายประเภท เช่น แก้วดื่มน้ำ แก้วกาแฟ แก้วเบียร์ เป็นต้น

คุณสมบัติของแก้วใสย่อยสลายได้
คุณสมบัติของแก้วใสแบบย่อยสลายได้จะขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ผลิต โดยแก้วใสแบบย่อยสลายที่ผลิตจากแป้งหรือเซลลูโลส จะมีคุณสมบัติเชิงกลที่ด้อยกว่าแก้วใสแบบย่อยสลายที่ผลิตจาก PLA หรือ PHEMA อย่างไรก็ตาม แก้วใสแบบย่อยสลายที่ผลิตจากแป้งหรือเซลลูโลส จะมีราคาที่ถูกกว่าแก้วใสแบบย่อยสลายที่ผลิตจาก PLA หรือ PHEMA

ตัวอย่างวัสดุที่ใช้ในการผลิตแก้วย่อยสลายได้แบบใส
วัสดุที่ใช้ในการผลิตแก้วย่อยสลายได้แบบใส โดยทั่วไปแล้ว จะใช้วัสดุชีวภาพ (biomaterials) เป็นหลัก วัสดุชีวภาพเป็นวัสดุที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ โดยวัสดุชีวภาพที่ใช้ผลิตแก้วใสแบบย่อยสลายได้ ที่นิยมใช้กัน ได้แก่

1.แป้ง (starch)
แป้งเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี มันสำปะหลัง เป็นต้น แป้งสามารถนำมาผลิตเป็นแก้วใสแบบย่อยสลายได้ โดยผสมกับสารเคมีบางชนิด เช่น โพลิเอสเตอร์ (polyester) หรือโพลิคาร์บอเนต (polycarbonate) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเชิงกลในการผลิตแก้วย่อยสลายได้แบบใส

2.เซลลูโลส (cellulose)
เซลลูโลสเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่พบได้ในผนังเซลล์ของพืช เซลลูโลสสามารถนำมาผลิตเป็นผลิตแก้วย่อยสลายได้แบบใส โดยผสมกับสารเคมีบางชนิด เช่น โพลิเอสเตอร์ หรือโพลีคาร์บอเนต เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเชิงกลของแก้ว

3.โพลิแลคติกแอซิด (polylactic acid)
โพลิแลคติกแอซิด (PLA) เป็นพลาสติกชีวภาพชนิดหนึ่ง ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น แป้งมันสำปะหลัง ข้าวโพด หรืออ้อย เป็นต้น PLA สามารถนำมาผลิตเป็นแก้วใสแบบย่อยสลายได้โดยตรง หรือนำมาผสมกับสารเคมีบางชนิด เช่น โพลิเอสเตอร์ หรือโพลีคาร์บอเนต เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเชิงกลของแก้ว

4.โพลิไฮดรอกซีเอทิลเมทิลเซลลูโลส (polyhydroxyethylmethacrylate)
โพลิไฮดรอกซีเอทิลเมทิลเซลลูโลส (PHEMA) เป็นพลาสติกชีวภาพชนิดหนึ่ง ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น เซลลูโลส หรือน้ำตาล เป็นต้น PHEMA สามารถนำมาผลิตเป็นแก้วใสแบบย่อยสลายได้โดยตรง หรือนำมาผสมกับสารเคมีบางชนิด เช่น โพลิเอสเตอร์ หรือโพลีคาร์บอเนต เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเชิงกลของแก้ว

นอกจากวัสดุชีวภาพแล้ว บางครั้งอาจใช้วัสดุอื่นๆ ร่วมกับวัสดุชีวภาพในการผลิตแก้วย่อยสลายได้แบบใสด้วย เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของแก้วใสแบบย่อยสลายได้ เช่น แก้วใสแบบย่อยสลายได้บางชนิด อาจมีส่วนผสมของพลาสติกชีวภาพร่วมกับแก้วหรือวัสดุอื่นๆ เช่น กระดาษ


85
        การตรวจสอบและตรวจวัดคุณภาพว่าสินค้าหรือผลงานได้รับความเสียหายหรือมีคุณภาพตรงตามความต้องการของลูกค้านั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับแวดวงโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพโดยสายตาของแรงงานคนอาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ในปัจจุบันจึงได้มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติอย่าง Vision Sensor  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวัดและตรวจสอบในกระบวนการผลิต
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Vision Sensor และข้อควรพิจารณาก่อนเลือกซื้อ Vision Sensor ราคาคุ้มค่าที่ตอบโจทย์โรงงานอุตสาหกรรม


ทำความรู้จัก Vision Sensor คืออะไร
Vision Sensor คือ ส่วนหนึ่งของระบบ Machine vision หรือเครื่องจักรที่ใช้ระบบประมวลผลภาพในการตรวจสอบชิ้นงาน ซึ่ง Vision Sensor เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพวัตถุหรือชิ้นงาน จากนั้นจะนำภาพที่ได้มาวิเคราะห์ว่าตรงกับสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ เช่น ขนาด สี รูปทรง สัดส่วน และตำแหน่ง การทำงานของ Vision Sensor มีประสิทธิภาพสูงอย่างมาก ตอบโจทย์ทั้งด้านความถูกต้องแม่นยำ ความรวดเร็ว รวมถึงการประหยัดเวลา จึงเหมาะสำหรับใช้งานในกระบวนการผลิตเพื่อตรวจสอบความผิดปกติหรือมาตรฐานของชิ้นงานมากกว่าการใช้แรงงานหรือสายตาของคนตรวจสอบ เพราะไม่สามารถเชื่อถือได้ 100% 

ประโยชน์ของ Vision Sensor ที่เพิ่มความได้เปรียบของโรงงานอุตสาหกรรม
- ลดต้นทุนในการผลิต ทั้งต้นทุนด้านแรงงานคนและต้นทุนในการใช้ Sensor หลายๆ แบบในการทำงานร่วมกัน เพราะกล้อง Vision Sensor เพียงตัวเดียวก็สามารถตรวจจับภาพเพื่อเช็กคุณภาพของวัตถุได้อย่างครอบคลุม
- สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากกล้องมีความละเอียด สามารถตรวจสอบวัตถุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดปัญหาความผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์หรือที่เรียกว่า Human Error
- เพิ่มคุณภาพให้กับสินค้าที่ผลิต เนื่องจากสามารถตรวจสอบความผิดพลาดและคุณภาพตามที่ต้องการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
- ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและประหยัดเวลาของกระบวนการผลิต จึงสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อ Vision Sensor ราคาคุ้มค่าและตอบโจทย์
1.อุปกรณ์แสงสว่าง
ควรเลือกกล้อง Vision Sensor ที่มีระบบแสงสว่างในตัวหรือมีอุปกรณ์แสงสว่างให้เลือกที่ตอบโจทย์กับการใช้งาน เพราะอุปกรณ์แสงสว่างจะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้มีประสิทธิภาพ
2.การเชื่อมต่อสื่อสาร
ต้องแน่ใจว่าระบบการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่าง Vision Sensor และกลไกอื่นๆ ของโรงงานหรือกระบวนการผลิตจะเป็นไปด้วยความง่ายและรวดเร็ว
3.การไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์
กล้อง Vision Sensor ควรสามารถต่อพ่วงกับจอเพื่อแสดงภาพขณะนั้นได้เลยทันที โดยไม่ต้องมีคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถหมุนวนและเปลี่ยนตำแหน่งได้ทุกเวลาเมื่อต้องการใช้งาน
4.ราคา
เลือกซื้อกล้อง Vision Sensor ในราคาที่ตอบโจทย์และคุ้มค่ากับโรงงานอุตสาหกรรมของคุณ เพื่อให้อุปกรณ์ที่ได้มานั้นตรงกับความพึงพอใจและมีประสิทธิภาพในการใช้งาน

การซื้อ Vision Sensor ถือว่าเป็นการลงทุนที่มีราคาคุ้มค่ามาก หากเทียบกับคุณภาพและข้อได้เปรียบทางกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม หวังว่าข้อดีและข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อ Vision Sensor ราคาคุ้มค่าที่ตอบโจทย์จะเป็นประโยชน์แก่เจ้าของธุรกิจและผู้ที่ทำงานในแวดวงอุตสาหกรรม


86
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ในยุคปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นสื่อกลางที่เชื่อมต่อผู้คนจากทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร บริการต่างๆ และติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม อินเทอร์เน็ตก็เป็นแหล่งที่สามารถเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์มากมาย ที่อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินของเราได้รับความเสียหายได้ ทำให้ในปัจจุบันบริษัทยุคใหม่เริ่มมองหาระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นตัวช่วยในการป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น


สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาตัวช่วยในการรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ให้กับองค์กร วันนี้เราจะมาแนะให้ได้รู้จักกับประเภทของระบบรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ภายในองค์กร ติดตามได้เลย
ระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อใช้อินเทอร์เน็ต หมายถึง มาตรการต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินของเราเมื่อใช้อินเทอร์เน็ต
ประเภทของระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อใช้อินเทอร์เน็ต
โดยหลักๆ แล้วระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
ระบบรักษาความปลอดภัยด้านฮาร์ดแวร์ ได้แก่ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น ไฟร์วอลล์ เครื่องสแกนไวรัส/มัลแวร์ และระบบป้องกันแบบเรียลไทม์
ระบบรักษาความปลอดภัยด้านซอฟต์แวร์ ได้แก่ โปรแกรมต่างๆ ที่ใช้ในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น โปรแกรมป้องกันไวรัส/มัลแวร์ โปรแกรมไฟร์วอลล์ และโปรแกรมป้องกันสแปม
ระบบรักษาความปลอดภัยด้านฮาร์ดแวร์
ระบบรักษาความปลอดภัยด้านฮาร์ดแวร์เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เน้นการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์จากภายนอก เช่น การโจมตีด้วยไวรัส มัลแวร์ และฟิชชิ่ง ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยด้านฮาร์ดแวร์ที่สำคัญ ได้แก่
ไฟร์วอลล์ (Firewall) คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กรองข้อมูลขาเข้าและขาออกจากเครือข่าย เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายเข้าสู่เครือข่าย
เครื่องสแกนไวรัส/มัลแวร์ (Antivirus/Antimalware) คือ โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจจับและลบไวรัส มัลแวร์ และภัยคุกคามทางไซเบอร์อื่นๆ
ระบบป้องกันแบบเรียลไทม์ (Real-Time Protection) คือ ระบบป้องกันที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อตรวจจับและบล็อกภัยคุกคามทางไซเบอร์ทันทีที่เข้ามา
ระบบรักษาความปลอดภัยด้านซอฟต์แวร์
ระบบรักษาความปลอดภัยด้านซอฟต์แวร์เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เน้นการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์จากภายใน เช่น การโจมตีด้วยมัลแวร์ประเภท ransomware ซึ่งหลายๆ บริษัทยุคใหม่ได้มีการนำระบบซอฟต์แวร์เหล่านี้เพื่อช่วยป้องกันอันตรายจากการโจมตีทางไซเบอร์ เช่นซอฟต์แวร์เหล่านี้
โปรแกรมป้องกันไวรัส/มัลแวร์ (Antivirus/Antimalware) คือ โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจจับและลบไวรัส มัลแวร์ และภัยคุกคามทางไซเบอร์อื่นๆ
โปรแกรมไฟร์วอลล์ (Firewall) คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่กรองข้อมูลขาเข้าและขาออกจากอุปกรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายเข้าสู่อุปกรณ์
โปรแกรมป้องกันสแปม (Anti-Spam) คือ โปรแกรมที่ใช้ในการกรองอีเมลขยะหรืออีเมลที่มีเนื้อหาที่เป็นอันตราย
แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยเมื่อใช้อินเทอร์เน็ต
นอกจากระบบรักษาความปลอดภัยแล้ว ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตควรปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น
ใช้รหัสผ่านที่คาดเดายาก
อัปเดตซอฟต์แวร์อยู่เสมอ
สำรองข้อมูลเป็นประจำ
อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่รู้จัก
ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต
ระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินของเราจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตควรเลือกใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมกับความต้องการและปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยต่างๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการท่องอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังจะช่วยให้องค์กรของคุณรอดพ้นจากการถูกโจมตีจากผู้ที่ไม่หวังดีได้อีกด้วย
 




87

การจำนำ คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้จำนำส่งมอบทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้ครองครองเรียกว่า ผู้รับจำนำเพื่อประกันการชำระหนี้ ทรัพย์สินที่จำนำได้คือ ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น  รับจำนำมือถือ วิทยุ โทรทัศน์และเครื่องทอง รูปพรรณ สร้อย แหวน เพชร เป็นต้น

เหตุผลที่ต้องใช้บริการรับจำนำมือถือ

1.ต้องการเงินสดด่วน
การรับจำนำมือถือเป็นวิธีที่รวดเร็วและง่ายดายในการหาเงินสดมาใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ ค่าเทอม เป็นต้น

2.ต้องการเงินทุนหมุนเวียน
การรับจำนำมือถือสามารถเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจหรืออาชีพอิสระได้

3.ต้องการเปลี่ยนมือถือใหม่
การรับจำนำมือถือสามารถนำเงินที่ได้ไปซื้อมือถือใหม่ได้โดยไม่ต้องขายมือถือเดิม

ตัวอย่างสถานการณ์ที่อาจจำเป็นต้องใช้บริการรับจำนำมือถือ

- เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือไฟไหม้
- ต้องการเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจหรืออาชีพอิสระ
- ต้องการเปลี่ยนมือถือใหม่ แต่มีเงินไม่เพียงพอ

ข้อดีของการรับจำนำมือถือ
1.สะดวกและรวดเร็ว
สามารถทำธุรกรรมได้ภายในเวลาไม่กี่นาที

2.ไม่ต้องใช้เอกสารมาก
เพียงแค่มีบัตรประชาชนหรือใบขับขี่ก็สามารถใช้บริการได้

3.ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
การรับจำนำมือถือเป็นการกู้ยืมเงินโดยไม่เสียดอกเบี้ย

ข้อเสียของการรับจำนำมือถือ
1.มีโอกาสที่จะถูกยึดมือถือ
หากไม่สามารถไถ่ถอนมือถือคืนได้ภายในกำหนด

2.อาจได้ราคาจำนำไม่คุ้มค่า
ราคาจำนำขึ้นอยู่กับสภาพของมือถือและราคาตลาด

ข้อควรระวังในการใช้บริการรับจำนำ
- ควรตรวจสอบสภาพของทรัพย์สินก่อนส่งมอบให้ร้านรับจำนำ
- หลีกเลี่ยงการจำนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเกินไป
- ชำระหนี้ครบถ้วนภายในกำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยึดทรัพย์สิน

ก่อนตัดสินใจใช้บริการรับจำนำมือถือ ควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบเงื่อนไขของแต่ละร้านให้ดี เพื่อเลือกร้านที่เชื่อถือได้และได้ราคาจำนำที่เหมาะสม


การเลือกบริการรับจำนำ มีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา ดังนี้

- ควรเลือกร้านที่มีชื่อเสียงและได้รับการไว้วางใจจากลูกค้าจำนวนมาก
- ควรเปรียบเทียบราคาจำนำของแต่ละร้าน เพื่อเลือกร้านที่ให้ราคาคุ้มค่าที่สุด
- ควรศึกษาเงื่อนไขการจำนำของแต่ละร้านให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
- ควรเลือกร้านที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหายของทรัพย์สิน


88
ในปัจจุบัน แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของเรา แบตเตอรี่ถูกใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายภาพ เครื่องดูดฝุ่น รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยเหตุนี้ เครื่องวัดแบตเตอรี่จึงเป็นเครื่องมือที่มีความจำเป็น เนื่องจากเราจะต้องตรวจสอบและบำรุงรักษาแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เครื่องวัดแบตเตอรี่เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบและบำรุงรักษาแบตเตอรี่ สามารถวัดค่าต่างๆ ของแบตเตอรี่ เช่น แรงดันไฟฟ้า ความจุ กระแสไฟ และอุณหภูมิ ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแบตเตอรี่และระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทั้งก่อนและระหว่างการใช้งาน


ประเภทของเครื่องวัดแบตเตอรี่
-เครื่องวัดแบตเตอรี่แบบพกพา เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป มักมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ทำให้พกพาและใช้งานได้ง่าย เหมาะกับการทำงานนอกสถานที่ หรือการใช้งานทั่วไป

-เครื่องวัดกำลังไฟของแบตเตอรี่ ช่วยตรวจสอบพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ อ่านค่าได้ง่าย มีทั้งแบบแอนะล็อก และดิจิทัล

-เครื่องวัดแบตเตอรี่สำหรับใช้ในบ้าน มักจะเอาไว้ตรวจสอบกำลังไฟของถ่านไฟฉาย ถ่านอัลคาไลน์ และถ่านประเภทอื่น ๆ

-เครื่องวัดแบตเตอรี่แบบ Universal เป็นเครื่องมือที่สะดวกและรวดเร็ว สามารถวัดค่าต่างๆ ของแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วและหลากหลายประเภท

-เครื่องวัดแบตเตอรี่รถยนต์ เป็นเครื่องที่ใช้ทดสอบแบตเตอรี่รถยนต์  เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ

ประโยชน์ของเครื่องวัดแบตเตอรี่
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ เช่น แรงดันไฟฟ้า ความจุ และกระแสไฟ ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อประเมินว่าแบตเตอรี่ยังอยู่ในสภาพดี และพร้อมใช้งานหรือไม่ หากว่าฝืนใช้งานไปอาจจะเกิดอันตรายหรือเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้

- ระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น  เช่น เซลล์เสียหรือวงจรไฟฟ้าลัดวงจร ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้

- ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ การตรวจสอบและบำรุงรักษาแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้

ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อ
   สำหรับการเลือกซื้อ เราควรจะเลือกซื้อให้ตรงกับความต้องการและการใช้งานของเรา โดยมีข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้

-ประเภทของแบตเตอรี่ บางรุ่นสามารถวัดค่าเฉพาะสำหรับแบตเตอรี่บางประเภทเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกที่รองรับประเภทของแบตเตอรี่ที่ต้องการวัด

-คุณสมบัติ บางรุ่นมีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น ฟังก์ชันการชาร์จแบตเตอรี่หรือฟังก์ชันการทดสอบความต้านทาน คุณสมบัติเหล่านี้อาจมีประโยชน์สำหรับการใช้งานเฉพาะ

-ราคา มีราคาตั้งแต่หลักร้อยบาทไปจนถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่น และคุณสมบัติของเครื่องวัด

เครื่องวัดแบตเตอรี่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบและบำรุงรักษาแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากเครื่องวัดที่ใช้งานโดยทั่วไปแล้ว ยังมีเครื่องวัดที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพต่าง ๆ ของแบตเตอรี่ที่ผลิต ก่อนนำมาจำหน่ายอีกด้วย เพื่อให้มั่นใจว่า หลังจากวางขายไปแล้ว จะสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

89
   การขยายกิจการเป็นเป้าหมายของผู้ประกอบการหลายราย เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้และศักยภาพทางธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น ในปัจจุบันมีสถาบันการเงินหลายแห่งที่ให้บริการสินเชื่อขยายกิจการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เพียงพอและเหมาะสม
   และหากอยากได้รับอนุมัติสินเชื่อขยายกิจการในวงเงินที่ต้องการ การเตรียมตัวขอสินเชื่ออย่างรอบคอบก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนไม่ควรมองข้าม โดยมีวิธีการเตรียมตัวเพื่อให้ได้รับอนุมัติสินเชื่อและสามารถขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งหมด 5 ขั้นตอนด้วยกัน จะมีอะไรบ้าง เลื่อนลงไปอ่านกันได้เลย


   1. ศึกษาข้อมูลสินเชื่อขยายกิจการอย่างละเอียด
ก่อนขอสินเชื่อ ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลสินเชื่อจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะปัจจัยเหล่านี้
วงเงินกู้ที่ต้องการ ต้องเพียงพอต่อความต้องการในการลงทุนขยายกิจการ โดยไม่ควรกู้เกินความสามารถในการชำระหนี้
ระยะเวลาผ่อนชำระเหมาะสม สามารถชำระหนี้ได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ควรผ่อนชำระนานเกินไปจนทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น
อัตราดอกเบี้ย ยุติธรรม เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
หลักประกันที่ต้องใช้ในการขอสินเชื่อ

2. เตรียมเอกสารประกอบการขอสินเชื่อ
สำเนาทะเบียนการค้า เอกสารแสดงการจดทะเบียนธุรกิจของผู้ประกอบการ
สำเนาบัตรประชาชน เอกสารแสดงตัวตนของผู้ประกอบการ
สำเนาบัญชีธนาคาร เอกสารแสดงรายการเงินฝากและประวัติการเดินบัญชีของผู้ประกอบการ
งบการเงิน เอกสารแสดงผลการดำเนินงานของธุรกิจ
แผนธุรกิจ เอกสารแสดงแผนการดำเนินงานและเป้าหมายในการขยายกิจการ
เอกสารแสดงหลักประกันที่จะนำมาใช้ค้ำประกันสินเชื่อ

3. ประเมินความสามารถในการชำระหนี้
ผู้ประกอบการควรประเมินความสามารถในการชำระหนี้ก่อนยื่นขอสินเชื่อขยายกิจการ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขของสินเชื่อ โดยพิจารณาได้จากปัจจัยเหล่านี้
รายได้และกำไรของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา เพื่อประเมินความสามารถในการสร้างรายได้เพื่อชำระหนี้
ภาระหนี้สินที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มเติม
ค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าที่ เงินเดือนพนักงาน ค่าวัตถุดิบ

4. ติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงินหลายแห่ง
ผู้ประกอบการควรติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงินหลายแห่ง และพิจารณาปัจจัยเหล่านี้เพื่อให้ได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยสามารถเปรียบเทียบได้จากปัจจัยเหล่านี้
วงเงินกู้
ระยะเวลาผ่อนชำระ
อัตราดอกเบี้ย
หลักประกัน

5. เตรียมแผนธุรกิจที่ชัดเจน
แผนธุรกิจที่ชัดเจนจะช่วยให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ โดยควรครอบคลุมข้อมูลต่างๆ ดังนี้
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับธุรกิจ เช่น ชื่อธุรกิจ ที่อยู่ ประเภทธุรกิจ ระยะเวลาดำเนินกิจการ เป็นต้น
ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจ
ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ
กลยุทธ์ทางการตลาด กลยุทธ์ในการเจาะตลาดเป้าหมาย
เป้าหมายและแผนการดำเนินงานในการขยายกิจการ

การเตรียมตัวขอสินเชื่อขยายกิจการอย่างรอบคอบจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับอนุมัติสินเชื่อและสามารถขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมให้ครบถ้วนก่อนยื่นขอสินเชื่อ เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับอนุมัตินั่นเอง

90
   การวางแผนทางการเงินหรือ Financial Planning เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่คุณไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดหรือมีรายได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม เพราะเปรียบเสมือนการสร้างทางออกฉุกเฉินให้ตัวเอง ทำให้คุณมีเงินใช้จ่ายแบบไม่ขาดมือแม้ในยามที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย หรือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ


นอกจากนี้ การวางแผนทางการเงินที่ดียังช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง เป็นผลดีต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้างด้วย ซึ่งปัจจุบันก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การซื้อประกันชีวิต การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือการฝากออมทรัพย์ โดยการลงทุนแต่ละประเภทก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป

และสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นการวางแผนทางการเงิน วันนี้เรามี 4 เหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณควรเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ มาฝากกัน เพื่อเป็นการตอกย้ำให้เริ่มต้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ก่อนจะสายไปนั่นเอง

1.เก็บเงินไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ
   ไม่มีใครสามารถทำงานเพื่อหาเงินได้ไปตลอดชีวิต วันหนึ่ง เราก็ต้องเกษียณอายุและกลายเป็นคนที่ไม่มีรายได้ การมีวินัยทางการเงินและวางแผนทางการเงินตั้งแต่ตอนที่ยังทำงานได้อยู่ จะช่วยให้คุณมีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณได้โดยไม่ต้องเป็นภาระลูกหลาน และสามารถเอาเวลาบั้นปลายไปใช้ชีวิตที่อยากใช้ได้อย่างไร้กังวล

2.เก็บเงินไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน   
เหตุผลข้อต่อมาของการวางแผนทางการเงินก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ อาการเจ็บป่วย ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ซึ่งทุกเหตุการณ์ล้วนแต่ต้องใช้เงินในการแก้ไข ยิ่งวางแผนเก็บเงินสำหรับเรื่องฉุกเฉินได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความอุ่นใจในอนาคต

3.เก็บเงินเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลาน

   ใครที่มีครอบครัวแล้ว นอกจากจะเก็บเงินเพื่อตัวเอง อย่าลืมจัดสรรมรดกไว้ให้ลูกหลาน เผื่อในวันหลังที่คุณไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะได้มีเงินก้อนหนึ่งเก็บไว้ใช้จ่ายอย่างไม่ลำบาก ทั้งเงินสำหรับการศึกษา การทำธุรกิจ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
 
4.นำเงินไปต่อยอดด้วยวิธีการต่าง ๆ

   สุดท้าย การวางแผนการเงินที่ดี จะทำให้คุณมีเงินก้อนไปต่อยอดด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้ เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในทองคำ และการทำธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มเติม เป็นโอกาสในการทำกำไรและสร้างรายได้มากขึ้นในอนาคต

   และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้คุณควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนที่ชีวิตจะพบกับเหตุไม่คาดฝันและทำให้ชีวิตของคุณต้องสะดุดจนต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10